จังหวัดอุบลราชธานี ชอบเรียกกันด้วยชื่อสั้นๆว่า อุบลฯ ตัวย่อ อบ เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ในภาคอีสานตอนล่าง มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ในภาคอีสาน รวมทั้งชั้นที่ 5 ของเมืองไทย แล้วก็มีมวลชนมากมายเป็นชั้น 3 ของประเทศ นับเป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์นาน มีหลักฐานทั้งยังประวัติศาสตร์รวมทั้งโบราณคดีวิทยาที่ดั้งเดิม เป็นต้นว่า ภาพลายเส้นสีที่อุทยานแห่งชาติหน้าผาแต้ม รวมทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญหลายที่ จารีตที่ขึ้นชื่อลือนามของจังหวัดนี้เป็นแห่เทียนพรรษา รวมถึง ที่เที่ยวอุบลราชธานี มีพื้นที่อยู่ชิดกับอำนาจรุ่งเรือง, จังหวัดยโสธร, จังหวัดศรีสะเกษ, ประเทศลาวแล้วก็ราชอาณาจักรกัมพูชา

ที่เที่ยวอุบลราชธานี
จังหวัดอุบลราชธานีตั้งอยู่ในรอบๆแอ่งวัวราช โดยมีลักษณะตำแหน่งที่ตั้งที่นานัปการทั้งยังพื้นที่แบบที่ราบสูง ทำเลที่ตั้งแบบเทือกเขาซับซ้อนในชายแดนตอนใต้ โดยมีแนวเขาที่สำคัญเป็นทิวเขาบรรทัดรวมทั้งทิวเขาพนมป่าดงรัก มีแม่น้ำโขงกันระหว่างตัวจังหวัดและก็ประเทศลาว แล้วก็มีแม่น้ำหลักๆดังเช่น แม่น้ำมูลรวมทั้งแม่น้ำชี นอกเหนือจากนั้นยังมีสายธารที่หลักๆหลายสาย เช่น ลำเซบาย ลำเซบก ลำโดมใหญ่ ลำโดมน้อย
ประชาชนโดยมากเชื่อในศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่นิยมดำรงชีพทำการเกษตรเป็นหลักโดยมีการทำไร่ทำนาข้าวรวมทั้งเพาะปลูกพืชไร่ประเภทต่างๆได้แก่ ปอแก้ว มันสำปะหลัง ถั่วดิน มีการเลี้ยงปศุสัตว์ และก็ทำประมงอยู่นิดหน่อย รวมทั้งยังมีอาชีพอื่นๆที่สำคัญด้วย อาทิเช่น อุตสาหกรรมรวมทั้งกิจการค้าการบริการ จังหวัดอุบลราชธานีได้รับเรียกว่า” เมืองผู้รู้ เมืองนักแสดงแห่งชาติ”
ยุคอยุธยารวมทั้งจังหวัดธนบุรี ที่เที่ยวอุบลราชธานี
ประวัติศาสตร์ และ ที่เที่ยวอุบลราชธานี
ยุคอยุธยาแล้วก็จังหวัดธนบุรี
พระผู้เป็นเจ้าล้านช้างเวียงจันทน์ นามว่า พระผู้เป็นเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 หรือพระผู้เป็นเจ้าไชยองค์เว้ ทรงครองบัลลังก์ โปรดตั้งให้ท้าวท่วมเจ้าขุนมูลนายคนธรรมดาเชื้อสายไทพวน เป็นเจ้าอุปราชนครเวียงจันทน์ รวมทั้งโปรดให้เจ้าอุปราชท่วมนำไพร่พลไปตั้งเมืองที่หนองบัวลุ่มภูเขา (ตอนนี้เป็นจังหวัดหนองบัวลำภูเขา) โดยตั้งชื่อเมืองว่า “นครเขื่อนหมวดกาบแก้วบัวบาน”
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งแล้วก็สร้างป้อมกันชนให้แก่อาณาจักร์ที่พึ่งพิงถูกแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ กษัตริย์ล้านช้างเวียงจันทน์หรือพระผู้เป็นเจ้าไชยองค์เว้ ก็เลยโปรดเกล้าโปรดกระหม่อให้เจ้าอุปราชท่วมพระพ่อของพระวอพระตาไปสร้างเมืองหนองบัวลุ่มภูเขาขึ้นเป็นเมืองหน้าด่านกระทั่งถึงกับอาณาจักรอยุธยาแล้วก็อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางที่พึ่งปลีกตัวจากเวียงจันทน์ไปตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ ปัจจัยที่สำคัญของการล่มสลายของอาณาจักรล้านช้าง เนื่องจากการแทรกแซงหรือได้รับการไกล่เกลี่ยจากพระเพทราชากษัตริย์อาณาจักรอยุธยา ซึ่งได้เสนอให้แยกอาณาจักรออกมาจากกันเพื่อลดปัญหาของความไม่ลงรอยกันที่ร้ายแรง ซึ่งข้างเมืองหลวงเวียงจันทน์ก็ได้เปลี่ยนเป็นคู่พิพาทกันกับข้างเมืองหลวงพระบางถัดมาช้านานอีกกว่าร้อยปี ด้วยมูลเหตุดังที่กล่าวถึงมาแล้วก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการตั้งเมืองนครเขื่อนหมวดกาบแก้วบัวบาน(หนองบัวลำภูเขา)ขึ้นเพื่อเป็นเมืองหน้าด่านใช้กระทั่งถึงกับอาณาจักรหลวงพระบางคู่อาฆาตชั่วนิจนิรันดร์เป็นหลัก หลังจากพระผู้เป็นเจ้าไชยองค์เว้ทรงตั้งอาณาจักรใหม่ นามว่า อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นช่วงๆช่วงเวลาภายหลังจากอาณาจักรล้านช้างได้ล่มสลายไปแล้ว แล้วก็ถูกแยกเป็น 2 อาณาจักร โดยประมาณในราวปี พุทธศักราช 2250 แล้วก็ถัดมาในราวปี พุทธศักราช 2256 พรมแดนอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ก็ได้ถูกแยกเป็นอีกหนึ่งอาณาจักรเป็นอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดา
ถัดมา พุทธศักราช 2283 เจ้าอุปราชท่วมได้นำกองกำลังชาวเวียดนามเข้ายึดอำนาจจากเจ้าองค์ทดลอง บุตรชายของเจ้าไชยองเว้ เหตุผลที่เจ้าอุปราชท่วมมีกำลังพลจากทางเวียดนามเยอะๆรวมทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับทางเวียดนาม สืบไปมาจากตั้งแต่ยุคพระผู้เป็นเจ้าสุริยวงศาธรรมไม่กราชขึ้นครองราชย์ ท่านได้พากเพียรกำจัดพระพี่น้องทางข้างพระราชพ่อกระทั่งเกือบจะสิ้น หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าชมพู พระเชษฐาต่างแม่ เจ้าชมพูถูกขับไล่ (หลบซ่อน) ไปพึ่งเวียดนาม โดยมีแสนทิพย์นาบัว สืบสกุลไทพวนทางฝั่งพ่อหรือไทดำทางฝั่งคุณแม่ ติดตามท่านไปด้วย เจ้าชมพูให้กำเนิดบุตรชายกับหญิงคนเมืองเว้ เชื้อสายเวียดนาม นามว่าพระไชยองค์เว้ วันหลังเจ้าชมพูตาย แสนทิพย์นาบัวก็เลยได้แม่ของพระผู้เป็นเจ้าไชยองค์เว้ กษัตริย์ล้านช้างเวียงจันทน์ องค์ที่ 1 เป็นเมียให้กำเนิดลูกนามว่า “ท้าวท่วม” ซึ่งถัดมาก็คือ เจ้าอุปราชท่วม ด้วยเหตุดังกล่าว เจ้าอุปราชท่วม ก็เลยเป็นลูกพี่ลูกน้องร่วมคุณแม่แม้กระนั้นต่างพ่อกับพระผู้เป็นเจ้าไชยองค์เว้ แล้วก็ล้วนมีเชื้อสายเวียดนาม(เมืองเว้) ทางฝั่งแม่ทั้งสอง ตอนหลังพระผู้เป็นเจ้าเจ้าสุริยะสกุลทรงธรรมราชสิ้นพระชนม์ พระไชยองค์เว้พร้อมท้าวท่วมนำกำลังจากเวียดนามเข้ายึดนครเวียงจันทน์ได้ พระไชยองค์เว้ขึ้นครองราชย์ชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ ตั้งท้าวท่วมเป็นเจ้าอุปราชท่วม พระไชยองค์เว้มีราชบุตรชายนามว่า ท้าวองค์ทดลอง ตอนหลังได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระไชยองค์เว้ในราวปี พุทธศักราช ๒๒๗๓ มีชื่อในใบจุ้มเลขที่ ๒ รวมทั้งเลขที่ ๗ ที่เก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ จ.กรุงเทพฯ ว่าพระมหาทรงธรรมราชพระราชาธิราชภูเขาไม่นทราธิราชเจ้า ยี่ห้อจุ้มของท้าวองค์ทดลองนี้เป็นยี่ห้อคล้ายกับมังกรอยู่กึ่งกลาง และก็มีแฉกออกคล้ายกับยี่ห้อพระธรรม
คราวหลังเจ้าอุปราชท่วมยึดอำนาจจากเจ้าองค์ทดลอง ในราวปี พุทธศักราช 2283 ขึ้นครองบ้านครองเมืองมีชื่อตามใบจุ้มเลขที่ ๑ ว่าพระโพสาททรงธรรมราชาไชยพระราชาธิราชภูเขาไม่นทราธิราชเจ้า ใช้ยี่ห้อจุ้มเป็นรูปนกยูง เหตุที่ใช้ยี่ห้อจุ้มเป็นรูปนกยูงนั้นก็เพราะพ่อของท้าวท่วมมีเชื้อสายพวน ซึ่งให้การช่วยเหลือเจ้าชมพูสำหรับเพื่อการแอบหนีไปพึ่งเวียดนาม เมื่อครองแผ่นดินท้าวท่วมก็เลยใช้ยี่ห้อนกยูงซึ่งเป็นสัตว์ที่กลุ่มชนพวนให้การเชื่อถือ รวมทั้งยังคงใช้เป็นยี่ห้อจุ้มของอาณาจักรพวน
หลังจากซึ่งสามารถครอบครองเมืองหลวงเวียงจันทน์ได้สำเร็จเสร็จ จากนั้นอุปราชท่วมก็เลยได้ดูแลนครเวียงจันทน์ มีนามว่า พระโพสาททรงธรรมราชาไชยพระราชาธิราชภูเขาไม่นทราธิราช ตามที่หลักฐานใบจุ่มได้เจาะจงไว้ แต่ว่าในทางปฏิบัติท่านได้รับการยินยอมรับเป็นแต่เพียงเจ้าอุปราชครองบ้านครองเมืองเพียงแค่นั้น ไม่บางทีอาจได้รับการยินยอมรับหรือรับประกันจากเจ้าขุนมูลนายให้ขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการอะไรเพราะเหตุว่าเจ้าท่วมปลอดเชื้อสายทางกษัตริย์ล้านช้างแต่ว่าเป็นเพียงแค่เชื้อสายคนธรรมดาที่เข้ามายึดอำนาจจากเชื้อสายนายจ้างแค่นั้น คราวหลังได้ครอบครองนครเวียงจันทน์ก็เลยมอบให้พระตาบุตรชายไปดูแลนครเขื่อนหมู่กาบแก้วบัวบานแทน วันหลังบุตรอีกทั้ง 2เป็นพระวอรวมทั้งพระตาร่วมมือกับเจ้าศรีบุญสาร บุตรชายของเจ้าทดลอง เข้ายึดอำนาจจากเจ้าอุปราชท่วม พระพ่อของพวกตน
ถัดมา พุทธศักราช 2314 กำเนิดการทำศึกระหว่างเวียงจันทน์กับเมืองหนองบัวลุ่มภูเขา โดยพระผู้เป็นเจ้าสิริบุญสาร กษัตริย์อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ กำเนิดความไม่ลงรอยกันกับพระตา พระวอ หากว่าพระตาพระวอจะได้เคยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลเจ้าสิริบุญสาร เมื่อครั้งมีการแย่งราชบัลลังก์ในล้านช้างเวียงจันทน์ ด้วยการให้บ้านพักอิงและก็หลบราชภัยในเมืองหนองบัวลุ่มภูเขา(นครเขื่อนหมู่กาบแก้วบัวบาน) เป็นเวลายาวนานกว่าสิบปี อีกทั้งช่วยยกพลไปชิงบัลลังก์ล้านช้างเวียงจันทน์จากเจ้าอุปราชท่วมพระพ่อของพระวอพระตา ซึ่งเคยนำกองทัพเวียดนามเข้ายึดอำนาจจากเจ้าองค์ทดลองพ่อของเจ้าสิริบุญสาร มาให้แก่เจ้าสิริบุญสารจนได้ครองเมืองเป็นพระผู้เป็นเจ้าล้านช้างเวียงจันทน์ ซึ่งพระวอพระตามีส่วนร่วมสำหรับการปิตุฆาตพ่อของพวกตนหรือเป็นเหตุช่วยเหลือให้พระเจ้าสิริบุญสารประหารพ่อของพวกตน ถัดมาเพราะว่าเจ้าสิริบุญสารอยากได้มีอำนาจเหนือดินแดนบริเวณแวดล้อมล้านช้างเวียงจันทน์ (ล้านช้างหลวงพระบาง-เมืองหนองบัวลุ่มภูเขา) รวมทั้งทรงมีความระแวดระวังแล้วก็โกรธโกรธเมืองหนองบัวลุ่มภูเขาอย่างยิ่ง ที่มีไพร่พลมากมาย และก็มีกำลังกองทัพที่แข็งแกร่ง และก็พระตาพระวอได้กลับลำหันไปเป็นผู้ส่งเสริมกับพระผู้เป็นเจ้าล้านช้างหลวงพระบางซึ่งเป็นคู่อาฆาตชั่วกับชั่วกัลป์ของข้างตน
แลล้านช้างหลวงพระบางรวมทั้งล้านช้างเวียงจันทน์ก็เป็นอริต่อกัน ด้วยความระแวดระวังรวมทั้งการไม่มีซึ่งสามัญสำนึกต่อผู้มีบุญคุณณที่ได้ช่วยเหลือตนมาของเจ้าสิริบุญสาร ท่านก็เลยอยากมีอำนาจเหนือเมืองหนองบัวลุ่มภูเขาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยเจ้าสิริบุญสารได้ขอให้พระตาแล้วก็พระวอไปช่วยรักษาการที่ด่านบ้านหินยกมรวมทั้งพระผู้เป็นเจ้ากรุงเวียงจันทน์หวาดกลัวจะเสียอำนาจหรือกลัวถูกจะฉกชิงอำนาจ เพราะว่าเมืองหนองบัวลุ่มภูเขาได้แข็งเมืองรวมทั้งไม่ยอมเป็นเมืองประเทศราชแก่เวียงจันทน์อีกต่อไป แต่ว่ามีกำลังพลล้นหลาม และก็ต่างอยากตำแหน่งในราชสำนักที่สูงสุดรองจากตน ก็เลยกำเนิดความไม่เชื่อใจแล้วก็ไม่ยอมรับที่จะชูตำแหน่งให้ เมื่อรู้แบบนั้น เมื่อมิได้รับผลตอบแทน พระตารวมทั้งพระวอก็เลยเคลื่อนทัพหนีกลับเมืองหนองบัวลุ่มภูเขาและก็แข็งเมืองต่อเมืองหลวงเวียงจันทน์ ทำให้เจ้าสิริบุญสารใช้ประเด็นนี้เป็นคำกล่าวอ้างยกกองทัพมาโจมตีเมืองหนองบัวลุ่มภูเขา พระตา พระวอ ยกกองทัพออกต่อสู้กระทั่งกองทัพเวียงจันทน์แตกปราชัยกลับไปบ่อย
การทำศึกระหว่างเวียงจันทน์กับเมืองหนองบัวลุ่มภูเขา ต่อสู้ใช้เวลานานถึง 3 ปี ไม่เป็นผลแพ้ชนะกัน พระผู้เป็นเจ้าสิริบุญสารได้ส่งราชทูตไปขอกองกองทัพเมียนมาร์ที่เมืองนครจังหวัดเชียงใหม่ ให้มาช่วยตีบ้านตีเมืองหนองบัวลุ่มภูเขา โดยมีเงื่อนไขเวียงจันทน์จะช่วยประเทศพม่ารบกับอยุธยา กองทัพเมียนมาร์ที่เมืองจังหวัดเชียงใหม่ ก็เลยให้ม่องระงอแง คุมกองทัพมาช่วยเจ้าสิริบุญสารรบ เมื่อข้างพระตารู้ข่าวสารศึก ประมาณยังเหลือกำลังที่จะต้านทานศึกกองทัพใหญ่มากยิ่งกว่าไว้ได้ ก็เลยให้ท้าวคำโส ท้าวคำขุย ท้าวจัด ท้าวคำราชสีห์ พาไพร่พล คนสูงอายุ เด็ก เพศหญิง พร้อมพระภิกษุ ย้ายถิ่นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหาที่ก่อสร้างบ้านสร้างเมืองใหม่ไว้คอย ถ้าแพ้การรบจะได้ย้ายถิ่นติดตามมาอยู่ด้วย
โดยแรกได้มาตั้งเมืองที่บ้านราชสีห์โคก บ้านราชสีห์ท่า (ตอนนี้เป็นจังหวัดยโสธร) แล้วก็การสู้รบในหนสุดท้าย พระตาถึงแก่กรรมในสนามรบ พระวอผู้เป็นลูกชายคนโต และญาติพี่น้องเป็น นางอุสา นางแพงแสน ท้าวคำผง ท้าวทิตพระพรหม รวมทั้งนางราวกับตา ได้หลบซ่อนออกมาจากเมืองมารับเสบียงจากบ้านราชสีห์โคก ราชสีห์ท่า แล้วผ่านลงไปตั้งเมืองที่ “ดอนมดแดง” พร้อมขอพึ่งพระผู้เป็นเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร ที่นครจำปาอำนาจ ข้างเจ้าสิริบุญสารทราบข่าวสารการตั้งเมืองใหม่สังกัดอาณาจักร์ล้านช้างจำปาอำนาจของกรุ๊ปพระวอ ก็เลยให้อัคฮาดหำทองคำ แล้วก็พญาสุโพ ยกกองทัพมาตีพระวอ พระวอสู้ไม่ได้ แล้วก็เสียชีวิตในสนามรบ ท้าวคำผงผู้น้องก็เลยขึ้นเป็นหัวหน้าทีม พร้อมมีใบบอกลงไปที่เมืองจังหวัดโคราช แล้วก็ธนบุรี เพื่อขอพึ่งบารมีพระผู้เป็นเจ้ากรุงธน ซึ่งให้เจ้าพระยาจักรี (ทองคำด้วง) แล้วก็เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกกองทัพมาช่วยท้าวคำผง ด้านพญาสุโพรู้ข่าวศึกของเจ้ากรุงธน ก็เลยสั่งถอนทัพกลับกลับเวียงจันทน์ แม้กระนั้นเจ้าพระยาจักรีรวมทั้งเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ยกทัพติดตามกองทัพเวียงจันทน์ จนกระทั่งสามารถเข้ายึดเมืองได้เสร็จ ก็เลยได้เชิญพระแก้วมรกต พร้อมกักคุมเจ้าสิริบุญสารไปธนบุรี ส่วนท้าวคำผงข้างหลังเสร็จศึกได้กลับไปตั้งเมืองอยู่ที่ดอนมดแดงอย่างเดิม
จนถึงใน พุทธศักราช 2319 กำเนิดน้ำหลากใหญ่ ท้าวคำผงก็เลยย้ายถิ่นไพร่พลไปอยู่ที่ดอนห้วยแจระแม (ตอนนี้ เป็นบ้านท่าบ่อ) รอคอยจนถึงน้ำลด แล้วในปีต่อมา ได้หาทำเลเมืองใหม่ที่ที่ตำบลบ้านร้าง เรียกว่าป่าดงอู่ผึ้ง ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลอันเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุบลราชธานีในขณะนี้ พร้อมทั้งได้สร้างวัดหลวงขึ้นเป็นวัดแรก
ถัดมา พุทธศักราช 2322 พระผู้เป็นเจ้ากรุงธน โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี ชวนสารตราขึ้นมาตั้งเป็นเมืองจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมให้ท้าวคำผงเป็นเจ้าผู้ครองนครในราชทินนาม “พระผุดมราชวงศาคณาญาติ” ท้าวทิตพระพรหมเป็นพระอุปฮาด ท้าวจ้าเป็นวงศ์สกุล ท้าวสุดตาเป็นราชลูก โดยเป็นภาควิชาอาญาสี่ชุดแรกของเมืองจังหวัดอุบลราชธานี
คาเฟ่อุบล นั้นมีตัวเลือกค่อนข้างมากมาย ทุกทั่วแห่งหนในจังหวัดอุบลนั้นเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านนั่งชิลในเวลากลางคืน คนอุบลชอบไลฟ์สไตล์ที่ช้า หรือที่เรียกว่าสโลวไลฟ์นั่นเอง ดังนั้นแล้วการมาเที่ยวอุบล เรารับรองเลยว่าตอบโจทย์สายเที่ยวอย่างแน่นอน